การวางโครงสร้างการบริหารแต่เริ่มแรก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น การวางแผนเรื่องการจัดซื้อ   การจัดหาวัตถุดิบ  อุปกรณ์  จึงเป็นเรื่องสำคัญ  มีประโยชน์ทั้งในด้านการลดต้นทุน  การลดเวลา ทันเวลา  หากวางผิดไปก็จะเป็นเรื่องที่ต้องมาตามแก้ไข  ต้องมีการหยุดชะลอ  รองาน รอสินค้าเข้า  สูญเสียรายได้  สูญเสียเวลา เราจึงขอรวบรวมโครงสร้างบริหารประเภทต่าง ๆ ว่าโครงสร้างแบ่งแยกเป็นแบบไหนบ้าง  ดังต่อไปนี้ 

  1. โครงสร้างแบบธรรมดา เป็นโครงสร้างการสร้างบ้านหรืออาคารเล็ก  ไม่มีอะไรวุ่นวายยุ่งยาก คือเจ้าของว่าจ้างทั้งผู้ออกแบบและผู้รับเหมาก่อสร้างโดยตรง และให้ผู้ออกแบบช่วยดูแลงานก่อสร้าง
  2. โครงสร้างแบบข้าราชการเริ่มมีการว่าจ้างผู้ควบคุมงานมาคุมงานหากผู้ควบคุมงานมีปัญหาก็ถาม ผู้ออกแบบโดยตรง
  3. โครงสร้างแบบเอกชนทั่วไปเริ่มมีที่ปรึกษาเข้ามา ว่าจ้างผู้รับเหมาแยกส่วนจากกันเพื่อลด ค่าดำเนินการ ขั้นตอนนี้อาจจะว่าจ้าง Consultant หรือ M. เข้ามาแทนที่ผู้ควบคุมงานแล้ว เพราะต้องการการบริหารที่ดีขึ้น หรือต้องการผู้แก้ปัญหาทางเทคนิคขั้นสูงขึ้น (C.P.M. = Construction Process Management ซึ่งเป็นผู้บริหารการก่อสร้างชนิดหนึ่งที่เน้นหนักด้าน "วิธีกรรมในการก่อสร้าง" ส่วนคำว่า C.B.M. = Construction Business Management ซึ่งเป็น C.M. ที่ทำหน้าที่เน้นหนักด้าน "ธุรกิจการก่อสร้าง")
  4. โครงการใหญ่ที่ต้องการควบคุมแต่เริ่มแรกเริ่มมีการแยกระยะเวลาและการบริหารออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนธุรกิจ และส่วนการก่อสร้าง เจ้าของงานอาจเป็น B.M. (Construction Business Management) เอง ทำหน้าที่จัดการด้านธุรกิจ-ภาษี-บัญชี-การเงิน-การตลาด-ฯลฯ ส่วนการก่อสร้างนั้นยังคงเหมือนกับโครงสร้างที่ 3
  5. โครงสร้างแบบจ้างบริหารการก่อสร้างทั้งโครงการ  เพราะทั้งผู้บริหารการก่อสร้างจะเข้าไปประสานงานในระบบธุรกิจ และควบคุมในส่วนการก่อสร้าง ให้ B.M. และ C.P.M. เป็นองค์กรเดียวกัน
  6. โครงสร้างแบบริหารเต็มรูปแบบ    เปรียบเสมือนหนึ่งเป็นการจัดตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เฉพาะกิจ โดยเจ้าของโครงการในที่นี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และผู้บริหารการก่อสร้างทำหน้าที่ด้านผลิตผลงาน โครงสร้างระบบ Full C.M. จะลดต้นทุนได้มาก ทุกฝ่ายมีผลประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ผู้รับเหมาขาแคลน แต่มีข้อจำกัดสำคัญที่ว่า เจ้าของโครงการและ M. จะต้องรู้จักสนิทสนมกัน ต้องไว้ใจกันมากและต้องทำงานด้วยกันได้